วันอังคารที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

หลักการของ TCP/IP


TCP/IP (Transmission Control Protocol / Internet Protocol) เป็นโปรโตคอลที่นิยมกันอย่างแพร่หลายในหลายๆระบบปฏิบัติการ เช่น Windows หรือ Linux เนื่องจากเจ้าสิ่งนี้เป็นสื่อมาตรฐานที่สามารถทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้อินเทอร์เน็ตสามารถเข้าใจเป็นภาษาเดียวกันได้นั่นเอง ง่ายๆก็เปรียบเหมือนภาษาอังกฤษที่เป็นมาตรฐานให้คนทั่วโลกสื่อสารกันได้โดยเข้าใจกัน แต่โปรโตคอลก็ยังมีอีกมากมายหลายๆตัวเช่น POP3 ซึ่งเป็นมาตรฐานในการส่งอีเมล์

หลักการของ TCP/IP คือ จะเป็นโปรโตคอลที่สามารถส่งข้อมูลระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้ และเชื่อถือได้ว่าข้อมูลจะไม่สูญหายกลางทาง โดยจะแบ่งข้อมูลออกเป็นส่วนๆหรือแพ็คเก็จระหว่างการส่งข้อมูล และส่งไปในแต่ละทางจนทุกส่วนจะมารวมกันในเครื่องปลายทาง (แต่ถ้าระหว่างทางข้อมูลเกิดมีข้อผิดพลาดใดๆ ก็จะร้องขอใหม่โดยอัตโนมัติ) จึงทำให้ข้อมูลที่ได้ปลายทางครบถ้วนสมบูรณ์นั่นเอง


หลักการทำงานของ TCP/IP มีขั้นตอนการทำงานดังนี้

ขั้นตอนที่ 1 TCP ทำหน้าที่ในการที่แตกข้อมูลที่ต้องการออกเป็นส่วนๆ โดยแต่ละส่วนย่อยนี้เรียกว่า Packet โดยแต่ละ Packet จะมีส่วนหัวเรียกว่า Header ทำหน้าที่ในการเก็บข้อมูล เกี่ยวกับลำดับของแพ็กเก็ตซึ่งจะถูกนำมาใช้เพื่อประกอบข้อมูลกลับมายังฝั่งของผู้รับ


ภาพแสดง การส่งข้อมูลแบบ Packet


ขั้นตอนที่ 2 Packet แต่ละ Packet จะถูกนำส่งไปแต่ละ IP ซึ่ง Packet แต่ละ Packet จะมี IP เป็นของตนเอง ภายใน IP แต่ละตัวจะถูกกำหนดที่อยู่ปลายทางของผู้รับ และผู้ส่ง โดยจะมีการกำหนดช่วงเวลาและอายุของ Packet

ขั้นตอนที่ 3 Packet ถูกส่งออกไปบนระบบอินเทอร์เน็ตผ่านเร้าเตอร์ (Router) ซึ่ง IP จะถูกตรวจสอบที่อยู่ปลายทางเมื่อเร้าเตอร์แต่ละตัว หลังจากนั้นเร้าเตอร์จะทำหน้าที่หาช่องทางในการส่งข้อมูลที่ดีที่สุดให้กับ Packet เพื่อนำข้อมูลไปสู่ปลายทาง เพราะฉะนั้น Packet แต่ละตัวจะเดินทางไปถึงปลายทางไม่พร้อมกัน โดยเรียงตามลำดับของ Packet

ภาพแสดง การส่งข้อมูลแบบผู้รับปลายทาง


ขั้นตอนที่ 4 เมื่อ Packet เดินทางไปถึงปลายทางเรียบร้อยแล้ว TCP จะทำหน้าที่ในการตรวจสอบข้อมูลภายใน Packet อีกครั้ง ว่าครบถ้วนและถูกต้องหรือไม่ ถ้าไม่ครบหรือไม่ถูกต้องจะทำการทิ้ง Packet นั้นไปแล้วเรียกกลับไปต้นทางใหม่อีกครั้ง


ขั้นตอนที่ 5 เมื่อปลายทางนั้นได้รับ Packet ที่ถูกต้องครบทั้งหมดแล้ว TCP จะทำหน้าที่ประกอบข้อมูลให้พร้อมที่จะใช้งานต่อไป
ในการสื่อสารบนอินเทอร์เน็ตนั้น ต้องอาศัยการส่งสัญญาณทั้งในระบบสายสัญญาณ ( Lease Line) และระบบสายโทรศัพท์ เพื่อให้การสื่อสารเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จึงต้องทำการเพิ่มเติม Protocol ที่ชื่อว่า SLIP (Serial Line Internet Protocol) และ PPP (Point – to – Point Protocol)



วันพุธที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

อุปกรณ์เครือข่าย (Network Devices)

คอนเซนเตรเตอร์ (Concentrator)

คอนเซนเตรเตอร์เป็นมัลติเพล็กเซอร์แบบที่แบ่งตามเวลาและการส่งข้อมูลแบบอะซิงโครนัสซึ่งมประสิทธิภาพ
สูงขึ้นมาอีกโดยสามารถเพิ่มสายหรือช่องทางการส่งข้อมูลมากขึ้น คอนเซนเตรเตอร์ทำ หน้าที่เป็นทั้งตัวเก็บและ ตัวส่งข้อมูล (Store and Forward) การสื่อสารระหว่างคอนเซนเตรเตอร์ 2 เครื่องจะเป็นแบบ Full Duplex

Image hosting by UpPicth.com


บริดจ์ (Bridge)

อุปกรณ์ IWU ( Internet Working Unit ) แบบง่ายที่สุดคือ บริดจ์ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ออกแบบมาเพื่อใช้ติดต่อระหว่างเครือข่ายท้องถิ่น LAN จำนวน 2 เครือข่ายที่มีโปรโตคอลเหมือนกัน หรือต่างกัน บริดจ์จะทำงานอยู่ใน เลเยอร์ชั้นที่ 2 หรือชั้น Data Linkของรูปแบบ OSI และในเลเยอร์ชั้น Data Link ยังแบ่งออกเป็นเลเยอร์ย่อยอีก 2 ชั้น คือชั้น LLC( Logical Link Control ) และชั้น MAC ( Medium Access Control) ซึ่งบริดจ์สามารถทำงานได้ทั้ง ใน 2 เลเยอร์ย่อยบริดจ์ทำงานคล้ายกับเครื่องตรวจตำแหน่ง (Address) ของข้อมูล บริจด์จะรับข้อมูลมาทั้งแพ็คเกจจาก LAN ต้นทาง และส่งทั้งแพ็คเกจ นั้นให้กับ LAN หนึ่งซึ่งอยู่ปลายทางโดยที่บริจด์จะไม่ทำการแก้ไขหรือเพิ่มเติมข่าวสารใด ๆ ให้แก่แพ็คเกจข้อมูลเลย
หน้าที่และลักษณะที่สำคัญของบริดจ์โดยทั่วไปมีดังนี้


1. มีหน้าที่ในการส่งข้อมูลจาก LAN1 ไปยัง LAN2 บริดจ์ จะรับทุกเฟรมข้อมูลที่ส่งมาจาก LAN1 รวมทั้งตำแหน่ง ปลายทางของ LAN 2ด้วย (รวมกันเป็นแพ็คเกจ)

2. แพ็คเกจข้อมูลที่รับมาจาก LAN จะถูกส่งผ่านเลเยอร์ชั้น Data Link ของรูปแบบOSI โดยไม่มีการแก้ไขหรือเพิ่ม เติมแพ็คเกจไปยัง LAN2

3. ในการส่งข้อมูลจาก LAN2 มายัง LAN1 ก็มีลักษณะเช่นเดียวกัน

4. บริดจ์ควรจะมี Buffer เพียงพอสำหรับจำนวนสูงสุดของข้อมูล เพื่อที่จะทำให้สามารถส่งข้อมูลได้ อย่างรวดเร็วและเต็มประสิทธิภาพของช่องทางการสื่อสาร

5. บริดจ์ควรจะสามารถพิจารณาตำแหน่งปลายทาง และสามารถจัดเส้นทางการไหลของข้อมูลได้ เองอย่างน้อยบริจด์ควรจะสามารถรู้ได้ว่าตำแหน่งที่มาแพ็คเกจนั้นมาจาก LANใด และใน กรณีที่มี การเชื่อมต่อ LAN กันมากกว่า 2 เครือข่ายขึ้นไป บริจด์ควรจะ สามารถเลือกเส้นทางการส่งข้อมูลที่ดีที่สุดได้

Image hosting by UpPicth.com

คอนโทรลเลอร์ (Controller)

คอนโทรลเลอร์เป็นมัลติเพล็กเซอร์ที่ส่งข้อมูลแบบซิงโครนัส ซึ่งมีความสามารถในการส่งข้อมูลด้วยอัตราเร็วสูงมากๆ ได้ดีแต่ก็ต้องอาศัยโปรโตคอลพิเศษสำหรับกำหนดการส่ง - รับ ข้อมูล รวมทั้ง บอร์ดวงจรไฟฟ้าและซอฟต์แวร์ในคอมพิวเตอร์ คอนโทรเลอร์ ์ทำหน้าที่ เป็นอุปกรณ์ควบคุมกลุ่มของ เทอร์มินัลและเครื่องพิมพ์ที่ต่อตรงเข้ากับโฮสต์ คอมพิวเตอร์ เพียงเครื่องเดียว คอนโทรลเลอร์ ปกติจะใช้เฉพาะที่มียี่ห้อเดียวกับอุปกรณ์ คอมพิวเตอร์ที่ต่อด้วย

Image hosting by UpPicth.com

คอนเวอร์เตอร์ (Converter)

คอนเวอร์เตอร์ เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่เปลี่ยนกลุ่มของข่าวสารซึ่งกำหนดขึ้นด้วยโปรโตคอลแบบหนึ่งไปเป็น
กลุ่มของข่าวสารซึ่งใช้โปรโตคอลอีกแบบหนึ่ง และทำหน้าที่มัลติเพล็กซ์สัญญาณด้วย นอกจากนี้ ยังสามารถเปลี่ยนแปลงรูปแบบการส่งข้อมูลระหว่างข้อมูลแบบอะซิงโครนัสและแบบซิงโครนัส เช่นอุปกรณ์ ตู้สลับสายดิจิตอล PABX

Image hosting by UpPicth.com

Image hosting by UpPicth.comImage hosting by UpPicth.comImage hosting by UpPicth.comImage hosting by UpPicth.com


ฟรอนต์ - เอ็นโปรเซสเซอร์ ( Front - End Processor หรือ FEP)

ฟรอนต์ - เอ็นโปรเซสเซอร์ หรือ FEP เป็นคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อ โ ฮสต์คอมพิวเตอร์
หรือมินิคอมพิวเตอร์กับอุปกรณ์ของเครือข่ายการสื่อสารข้อมูล เช่น มัลติเพล็กซ์เซอร์ โมเด็ม ฯ ลฯ
ฟรอนต์ - เอ็นโปรเซสเซอร์จะเชื่อมต่อโดยตรงกับโฮสต์คอมพิวเตอร์ โดยผ่านช่องทางข้อมูลอัตราเร็วสูง ในเครือข่ายขนาดใหญ่โดยอาจใช้สายสื่อสารแบบไฟเบอร์ออฟติก ส่วนอีกด้านหนึ่งของฟรอนต์ - เอ็นโปรเซสเซอร์ ์ก็ต่อเข้ากับมัลติเพล็กเซอร์ หรือโมเด็ม หรือต่อเข้าโดย ตรงกับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์แบบพอร์ตต่อพอร์ต
ฟรอนต์ - เอ็นโปรเซสเซอร์เป็นคอมพิวเตอร์จึงประกอบด้วย ฮาร์ดแวร์ หน่วยความจำและซอฟต์แวร์
โดยสามารถเชื่อมต่อกับพอร์ต ของฟรอนต์ - เอ็นโปรเซสเซอร์ ได้ถึง 256 อุปกรณ์ต่อฟรอนต์ - เอ็นโปรเซสเซอร์ 1เครื่อง
หน้าที่หลัก ๆ ของ ฟรอนต์ - เอ็นโปรเซสเซอร์
1. แก้ไขข่าวสาร : ด้วยการจัดเส้นทางข่าวสาร อัดขนาดของข้อมูลและแก้ไขข้อมูล

2. เก็บกักข่าวสาร : เป็นการเก็บกักข่าวสารข้อมูลไว้ชั่วคราว เพื่อจัดระเบียบการเข้า - ออกของข้อมูลของคอมพิวเตอร์และจัดลำดับความสำคัญก่อน-หลังของสายและผู้ใช้

3. เปลี่ยนรหัส : เปลี่ยนอักขระและข่าวสารจากรหัสหนึ่งไปเป็นอีกรหัสหนึ่ง หรือระหว่างโปโตคอลหนึ่งไปเป็นอีกโปรโตคอลหนึ่ง

4. รวบรวมหรือกระจายอักขระ : จากบิตเป็นอักขระหรือจากอักขระเป็นบิตสำหรับการส่งข้อมูลแบบ อะซิงโครนัสและซิงโครนัส

5. ควบคุมอัตราเร็ว : ควบคุมอัตราเร็วการส่ง - รับ ข้อมูลของสายส่งข้อมูลกับฮาร์ดแวร์ให้สัมพันธ์กัน

6. จัดคิว : ควบคุมคิวการเข้า - ออกของข้อมูลคอมพิวเตอร์หลัก

7. ตรวจจับและควบคุมความผิดพลาด : เพื่อร้องขอให้มีการส่งข้อมูลมาใหม่ เมื่อตรวจจับได้ว่ามีความผิดพลาดใน การส่งข้อมูลเกิดขึ้น

8. อีมูเลต : เป็นการเลียนแบบซอฟต์แวร์ของฮาร์ดแวร์อันหนึ่งให้"ดูเสมือน" กับซอฟต์แวร์ของฮาร์ดแวร์อื่น ๆ ในเครือข่ายการทำงาน ฟรอนต์ - เอ็นโปรเซสเซอร์ ทั้งหมดจะถูกควบคุมด้วยโปรแกรมควบคุมของเครื่องเอง


Image hosting by UpPicth.comImage hosting by UpPicth.comImage hosting by UpPicth.comImage hosting by UpPicth.com
เกตเวย์ (Gateway)
เกตเวย์เป็นอุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ที่ช่วยในการสื่อสารข้อมูล หน้าที่หลักของเกตเวย์คือช่วยทำให้เครือข่ายคอมพิวเตอร์2 เครือข่ายหรือมากกว่าที่มีลักษณะไม่เหมือนกัน คือลักษณะของการเชื่อมต่อ ( Connectivity ) ของเครือข่ายที่แตกต่างกัน และมีโปรโตคอลสำหรับการส่ง - รับ ข้อมูลต่างกัน เช่น LAN เครือหนึ่งเป็นแบบ Ethernet และใช้โปรโตคอลแบบอะซิงโครนัสส่วน LAN อีกเครือข่ายหนึ่งเป็นแบบ Token Ring และใช้โปรโตคอลแบบซิงโครนัสเพื่อให้สามารถติดต่อกันได้เสมือนเป็นเครือข่ายเดียวกัน เพื่อจำกัดวงให้แคบลงมา เกตเวย์โดยทั่วไปจะใช้เป็นเครื่องมือส่ง - รับข้อมูลกันระหว่างLAN 2เครือข่ายหรือLANกับเครื่องคอมพิวเตอร์เมนเฟรม หรือระหว่าง LANกับ WANโดยผ่านเครือข่ายโทรศัพท์สาธารณะเช่น X.25แพ็คเกจสวิตซ์ เครือข่าย ISDN เทเล็กซ์ หรือเครือข่ายทางไกลอื่น ๆ

เกตเวย์แบ่งออกเป็น 2 ประเภท

1. เกตเวย์แบบอะซิงโครนัส ซึ่งทำหน้าที่เปลี่ยนรูปแบบข้อมูลของเครือข่าย LAN ห้เป็นแบบอะซิงโครนัสก่อนส่งออกไปสู่สายสื่อสารเพื่อติดต่อกับอุปกรณ์อื่น ๆ ภายนอกเครือข่าย และทำหน้าที่รับข้อมูลจากอุปกรณ์อะซิงโครนัส เช่น โมเด็มแบบอะซิงโครนัสเพื่อเปลี่ยนรูปแบบข้อมูลมาเป็นแบบที่ใช้อยู่ในเครือข่ายLAN เกต์เวย์แบบอะซิงโครนัส เช่นX.25เกตเวย์ , T-1 เกตเวย์และเกตเวย์ที่รวมโมเด็มอะซิงโครนัสอยู่เครื่องเดียวกัน

2. เกตเวย์แบบซิงโครนัส ทำหน้าที่ในการช่วยให้ผู้ใช้ ( User ) ภายในเครือข่าย LAN สามารถติดต่อกับคอมพิวเตอร์เมนเฟรมภายนอกเครือข่ายโดยผ่านโมเด็มแบบซิงโครนัส หรืออาจจะต่อเข้าเองโดยตรง หรือผ่านระบบสื่อสารอื่นๆ เกตเวย์แบบซิงโครนัสคือเกต์เวย์ SNA(System Network Architecture) และเกตเวย์แบบ RJE ( RemoteJobEntry) เกตเวย์ซิงโครนัสมีส่วนประกอบหลั 2 ส่วนคือส่วนที่ทำหน้าที่เป็น อีมูเลเตอร์เพื่อให้เครื่อง PC ในเครือข่ายทำงาน"เสมือน" เป็นเทอร์มินัลของเครื่องเมนเฟรมภายนอกเครือข่าย และอีกส่วนหนึ่งจะทำหน้าที่เป็น ฟรอนต์ - เอ็นโปรเซสเซอร์ โดยจะสนับสนุนโปรโตคอลแบบซิงโครนัส เช่น BISYN ( Binary SynchronousCommunication)หรือ SDLC(Synchronous Data Link Control) มาตรฐานระหว่างประเทศกำหนดขึ้นเพื่อให้ระบบเป็นกลางเพื่อแลกเปลี่ยน E - mail ภายใต้มาตรฐาน X.400
ฮับ (HUB)
ฮับเป็นอุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ซึ่งทำหน้าที่เป็นมัลติเพล็กเซอร์เช่นกันแต่ฮับจะนิยมใช้ในระบบเครือข่าย LANเนื่องจากฮับมีราคาถูกกว่าคอนเซนเตรเตอร์ ขนาดของ LAN ที่เหมาะสมกับฮับได้แก่LAN ที่มีผู้ใช้ (User) ประมาณ 6-40 ลูกค่าย

Image hosting by UpPicth.comImage hosting by UpPicth.com

ฮับแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ

1.ราคาถูก(Low-cost)
ฮับราคาถูกมีคุณสมบัติหลัก ๆ คือสามารถทำการติดต่อสื่อสารข้อมูลได้ตามมาตรฐาน IEEE 802.3 มีพอร์ตสำหรับ10BASE มากกว่า 6 พอร์ต ใช้กับสายคู่บิดเกลียว

2.ฮับอย่างดี (Intellegent)
ส่วนฮับอย่างดีจะเพิ่มคุณสมบัติต่าง ๆ ขึ้นมาคือ สามารถใช้ได้ทั้งLAN แบบ Ethernet และแบบ Token - Ring มีพอร์ต10BASE มากขึ้นมีไมโครโปรเซสเซอร์ช่วยในการจัดการฟังก์ชันการทำงาน

โมเด็ม (Modem)

MODEM ย่อมาจาก Modulator - DEModulator มีหน้าที่แปลงสัญญาณข้อมูลบางรุ่นสามารถทำการตรวจสอบความผิดพลาดของข้อมูลรวมถึงแก้ไขความผิดพลาดที่เกิดขึ้นได้ โมเด็มส่วนใหญ่จะมีชิบประมวลผล (Processor)และหน่วยความจำ (ROM)อยู่ในตัวเครื่อง ในการส่ง - รับ ข้อมูลของโมเด็มนั้นเป็นโมเด็มที่ต่างรุ่นกันหรือต่างยี่ห้อกัน ก็อาจจะทำให้ไม่สามารถส่ง - รับข้อมูลกันได้ เนื่องจากโมเด็มมีอัตราเร็วของการส่ง- รับ รูปแบบของการส่ง - รับ ข้อมูล หรือใช้คำสั่งควบคุมการทำงานของโมเด็มต่างกัน (คำสั่งมาตรฐาน ของโมเด็มคือคำสั่ง Hayes)

Image hosting by UpPicth.com


วิธีการส่งข้อมูล
สำหรับวิธีการส่งข้อมูลของโมเด็มจะอาศัยเทคนิคการแปลงสัญญาณดิจิตอลเป็นสัญญาณอนาล็อก

1. วิธีการแบบ ASK (Amplitude Shift Keying) ในการมอดูเลตแบบ AM

2. วิธีการแบบ FSK (Frequency Shift Keying) ในการมอดูเลตแบบ FM

3. วิธีการแบบ PSK (Phase Shift Keying) ในการมอดูเลตแบบ PM

4. วิธีการแบบ QAM (Quadrature Amplitude Modulation) เป็นการมอดูเลตสัญญาณข้อมูลโดยอาศัยหลักการ ของAM และPM รวมกันคือสัญญาณข้อมูลจะรวมเข้ากับสัญญาณคลื่นพาห์เมื่อแอมปลิจูดและเฟสของสัญญาณ เปลี่ยนแปลงวิธีการแบบ ASK จะใช้กับการส่งข้อมูลอัตราเร็วต่ำ วิธีแบบ FSK จะใช้ในการส่งข้อมูลด้วยอัตราเร็วปานกลาง ส่วนแบบวิธี PAK และ QAMใช้ในการส่งข้อมูลความเร็วสูง


รูปแบบข้อมูล
แยกได้ตามประเภทของโมเด็มคือโมเด็มแบบอะซิงโครนัสและโมเด็มซิงโครนัส

อัตราเร็วข้อมูล
แบ่งออกได้เป็น 3 ระดับ1. อัตราเร็วต่ำ ประมาณ 300 บิตต่อวินาที ส่วนใหญ่เป็นโมเด็มแบบอะซิงโครนัสและใช้กับซีพียูขนาด 8 บิต2. อัตราเร็วปานกลาง ประมาณ 1,200 - 9,600 บิตต่อวินาที มีทั้งโมเด็มแบบอะซิงโครนัสและซิงโครนัส และ กับซีพียูขนาด16 บิต3. อัตราเร็วสูงมากกว่า 9,600 บิตต่อวินาที ส่วนใหญ่เป็นโมเด็มแบบซิงโครนัส และใช้กับซีพียูขนาด 32 หรือ 64 บิต

คุณสมบัติของโมเด็ม
1 . สามารถตรวจสอบและแก้ไขความผิดพลาดของข้อมูลที่รับเข้ามาได้ด้วยชิบประมวลผล ในโมเด็ม

2. สามารถวิเคราะห์และทดสอบข้อมูล เพื่อแยกข้อบกพร่องและความผิดพลาด

3. สามารถควบคุมการทำงานของโมเด็มได้จากผู้ใช้ หรือคอมพิวเตอร์จากที่อื่น

4. สามารถต่อโมเด็มสำรอง เพื่อใช้ทำงานแทนได้เมื่อเครื่องหลักเสีย

5. โมเด็มชนิดเดียวกันสามารถใช้กับข้อมูลที่มีขนาด หรืออัตราเร็วที่ต่างกันได้

6. สามารถใช้กับอินเตอร์เฟชต่าง ๆ ที่ใช้มาตรฐาน IEEE หรือ CCITT ได้

7. สามารถรับและส่งข่าวสารได้ทั้งเสียง ภาพ ข้อความ และ ข้อมูล


Image hosting by UpPicth.comImage hosting by UpPicth.comImage hosting by UpPicth.com
มัลติเพล็กซ์เซอร์ (Multiplexer)

ลักษณะการทำงานของมัลติเพล็กซ์เซอร์
จะรับสัญญาณข้อมูลจากผู้ส่งข้อมูลจากแหล่งต้นทางไปยังปลายทางในที่ต่าง ๆ กันการสื่อสารข้อมูลคือ 1 ช่องการสื่อสาร ( Channel ) สัญญาณข้อมูลเมื่อผ่านมัลติเพล็กซ์เซอร์จะเรียงรวม ( Multiplex ) อยู่ในสายข้อมูลเพียงสายเดียวและเมื่อสัญญาณข้อมูลทั้งหมดมาถึงเครื่องมัลติเพล็กซ์เซอร์ปลายทาง ซึ่งเรียกว่าอุปกรณ์ดีมัลติเพล็กซ์เซอร์ สัญญาณก็จะถูกแยก (ดีมัลติเพล็กซ์)ออกจากกันไปตามเครื่องรับ ปลายทางของแต่ละช่องทางส ายส่งข้อมูลที่ใช้ในการส่งข้อมูลต้องมีความจุสูงจึงจะสามารถรองรับปริมาณ ข้อมูลจำนวนมากที่ส่งผ่านมาพร้อม ๆ กันได้ สายส่งข้อมูลดังกล่าวได้แก่ สายโคแอกเชียล สายไฟเบอร์ออฟติก คลื่นไมโครเวฟ และคลื่นดาวเทียม

Image hosting by UpPicth.comImage hosting by UpPicth.comImage hosting by UpPicth.com
Image hosting by UpPicth.comImage hosting by UpPicth.com

วิธีการรวมช่องการสื่อสารข้อมูล หรือการมัลติเพล็กซ์ มีอยู่ 3 วิธี
1. การมัลติเพล็กซ์แบบแบ่งตามความถี่ (Frequency Division Multiplexingหรือ FDM)ซึ่งเป็นแบบที่นิยมใช้ในด้านวิทยุและโทรทัศน์
2. การมัลติเพล็กซ์แบบแบ่งตามเวลา (Time Division Multiplexing หรือTDM) รู้จักกันดี ในชื่อของ SynchronousTDM ส่วนใหญ่จะใช้ในการมัลติเพล็กซ์สัญญาณเสียงดิจิตอล เช่น แผ่นเพลง CD
3. การมัลติเพล็กซ์แบบแบ่งตามเวลาด้วยสถิติ (Statistical Time Division Multiplexingหรือ STDM) เรียกอีกอย่างหนึ่ง ว่า Asynchronous TDMหรือ Intelligent TDM เป็นวิธีการมัลติเพล็กซ์ที่ปรับปรุงการทำงานจากวิธีSynchro-nous ให้มีประสิทธิภาพสูงเพื่อรองรับจำนวนช่องทางให้ได้มากขึ้น
PAD (Packet Assembler/Deassembler)
เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่รวมข้อมูลแต่ล่ะอักขระเป็นกลุ่มหรือแพ็คเกจ เพื่อส่งผ่านสายสื่อสารของ




Image hosting by UpPicth.com

PSN(Packet - switched Network) และทำหน้าที่แยกหรือกระจายแพ็คเกจซึ่งได้รับมาจาก PSNออกเป็นอักขระต่าง ๆ เรียกว่า PAD หรือ X.25 PAD (X.25 คือมาตรฐานของ การติดต่อสื่อสารในPSN)และตามมาตรฐาน CCITT ใช้ โปรโตคอล X.3 , X.28 , X.29

รีพีตเตอร์ (Repeater)

รีพีตเตอร์หรือเครื่องทวนสัญญาณข้อมูลคอมพิวเตอร์ เพื่อป้องกันการขาดหายของสัญญาณในกรณีที่ส่งผ่านข้อมูลระยะทางไกล ๆ รีพิตเตอร์จะทำงานอยู่ในเลเยอร์ชั้น Physical ของรูปแบบ OS I ซึ่งก็คือในส่วนของสายสื่อสารข้อมูลหรือบัสของเครือข่าย รีพีตเตอร์นั้นใช้เพื่อเพิ่มระยะทางการสื่อสาร ของเครือข่าย เช่น เครือข่ายLAN ให้ไกลมากกว่าเดิมรีพิตเตอร์แต่ละเครื่องจะต้องห่างกันไม่น้อยกว่า 1.6 Km
Image hosting by UpPicth.comImage hosting by UpPicth.com

การทำงานของรีพิตเตอร์นั้นทำหน้าที่เชื่อมต่อระหว่างเซ็กเมนต์ของสายสัญญาณเข้าจังหวะและสร้างสัญญาณดิจิตอลบนสายสัญญาณขึ้นใหม่ให้เหมือนเดิม แล้วส่งออก ไปที่ปลายอีกด้านหนึ่ง แต่ไม่มีความ สามารถในการแยกเยอะจราจรของข้อมูล เพียงแต่ส่งทุกบิต ในสายสัญญาณออกไปอีกฝั่งหนึ่งแม้ว่ามันจะเป็นแพ็คเก็จที่ผิดพลาดรีพีตเตอร์

เราเตอร์ (Router)


เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ในการเชื่อมโยงแต่ละเครือข่ายเข้าด้วยกันตามมาตราฐาน ISO ที่เรียกว่า
IWU ทำงานอยู่ในระดับเลเยอร์ชั้นที่ 3 คือชั้นNetwork ลักษณะการทำงานคือจะปรับปรุงการทำงานของบริดจ์ เราเตอร์จะอ่านข้อมูลแอดเดรส ของเครือข่ายที่ซับซ้อนกว่าในแพ็คเกจหรือ โทเคน อาจเพิ่มเติมข้อมูลมากขึ้น เพื่อให้ปลายทางได้รับแพ็คเกจผ่านเครือข่าย เราเตอร์สามารถเลือกเส้นทางที่ไม่ซ้ำซ้อน


Image hosting by UpPicth.comImage hosting by UpPicth.com

เราเตอร์ต่างจากบริดจ์คือจะไม่รู้ตำแหน่งที่แท้จริงของโหนด รู้แต่เพียงแอดเดรสของเครือข่ายย่อย( Subnetwork )อ่านข้อมูลที่บรรจุอยู่ในแพ็คเกจหรือเฟรม และใช้กระบวนการอ้างแอด เดรสของเครือข่ายเพื่อกำหนดปลายทาง ที่เหมาะสมแล้วจึงสร้างแพ็คเกจแล้วส่งข้อมูล ใหม่ก่อนส่งข้อมูลออกไป

Static router เลือกเส้นทางที่สั้นที่สุดโดยการใช้ตารางเส้นทางที่นักเขียนโปรแกรมสร้างขึ้นสำหรับเครือข่ายทำงานได้ดีในระบบเครือข่ายที่แตกต่างกัน

Dynamic router สามารถตรวจสอบปัจจัยต่าง ๆ เช่นค่าใช้จ่ายในการส่งข้อมูล ปริมาณการจราจรข้อมูลบนสายเชื่อมโยง และส่งแพ็คเพจหรือเฟรมบนเส้นทางที่เลือกได้
____________________________________________________________________

ผู้ผลิตการ์ดเครือข่าย(Vendor)

Search results for "00-06-52"
MAC Address
Prefix Vendor
000652 Cisco Systems, Inc.

Search results for "00-80-C7"
MAC Address
Prefix Vendor
0080C7 Xircom Inc.

Search results for "0040f4"
MAC Address
Prefix Vendor 0040F4 Cameo Communications, Inc.

Search results for "00-04-20"
MAC Address
Prefix Vendor

000420 Slim Devices, Inc.

Search results for "00-13-A"
MAC Address
Prefix Vendor 0013A9 Sony Corporation